ตอนที่ได้ข่าวว่าทางนิคอนจะออกกล้อง Nikon1 รุ่น J5 ผมก็แอบสนใจเป็นพิเศษ เพราะโดยส่วนตัวนั้น ผมก็ใช้รุ่น J3 อยู่ซึ่งในภาพรวมนั้นผมชอบมากทีเดียว
แต่รุ่น J3 ความละเอียดของรูปภาพยังค่อนข้างน้อยไปนิด ส่วน J5 นั้นเพิ่มความละเอียดของไฟล์มาให้ที่ 20 ล้านซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่ใหญ่กำลังดีเลยทีเดียว
แถมยังมีจอพับที่ผมเองก็พึ่งรู้ว่ามันทำให้การถ่ายรูปสะดวกขึ้นอีกมากโข และยังมี Wi-Fi ในตัวสำหรับอัพรูปภาพผ่านทางมือถือได้ด้วย
ส่วนรายละเอียดทางเทคนิคอื่นๆ ของ Nikon1 รุ่น J5 สามารถเข้าไปดูที่ลิ๊งนี้ได้เลยครับ
http://www.nikon.co.th/th_TH/product/nikon-1/nikon1-j5
เมื่อโอกาสประจวบเหมาะก็เลยเอากล้องตัวนี้ไปรีวิว โดยได้รับความอนุเคราะห์เรื่องอุปกรณ์จาก Nikon Sale Thailand ผ่านคุณกัญลักษณ์ซึ่งผมต้องขอขอบคุณเป็นอย่างสูงอีกครั้งครับ
นอกจากนี้ยังขอขอบคุณพี่ดิว พี่เก่ง พี่แดง คุณหน่อย และคุณเก๋ ที่ทำให้ผมมีโอกาสได้ขึ้นไปเชียงใหม่
ขอบคุณพี่เก่ง พี่นี้ด และอาจารย์โอ สำหรับข้อมูลต่างๆ รวมทั้งกลุ่มพรานดาราทุกท่านที่ให้ร่วมแจมถ่ายภาพ
ขอบคุณพี่ขาวพี่ช้างที่มาต้อนรับรวมทั้งพาเที่ยวที่ตากและสุโขทัย
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามผลงานรีวิวของผมมาโดยตลอดด้วยเช่นกันครับ
เริ่มต้นด้วยเรื่องของขนาดเซ็นเซอร์กันก่อนเลย
สำหรับ J5 นั้นใช้เซ็นเซอร์ CMOS ขนาด 13.2 x 8.8 มม. (Nikon เรียกเซ็นเซอร์ขนาดนี้ว่า CX)
เมื่อเทียบกับ DX ที่ค่ายนิคอนที่ใช้เซ็นเซอร์ CMOS ขนาด 23.5 x 15.6 มม. เรียกว่ามีขนาดพื้นที่ราว 1 ใน 3 เท่านั้นเอง
และยิ่งเมื่อเทียบกับ FX ที่ใช้เซ็นเซอร์ CMOS ขนาด 35.9 x 24.0 มม. นั้น มีพื้นที่ราว 1 ใน 7 ซึ่งถือว่าเล็กมาก
สำหรับคนที่เล่นกล้องและศึกษาเรื่อง Physical ของเรื่อง "Sensor" มาบ้างนั้นจะรู้ว่าขนาดของเซ็นเซอร์ มีผลอย่างมากต่อรูปภาพ
ทั้งในเรื่องของความละเอียด, Noise, Depth of Field, ความคมชัด รวมทั้งความยืดหยุ่นของไฟล์ด้วย
ขนาดเซ็นเซอร์ยิ่งเล็กก็จะยิ่งเสียเปรียบเมื่อเทียบกับเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ ฉะนั้น ในเมื่อ Physical ของกล้องตัวนี้ใช้เซ็นเซอร์ขนาดเล็ก ก็เป็นที่แน่นอนว่าศักยภาพโดยรวมนั้น มันมีข้อจำกัดค่อนข้างเยอะเมื่อเทียบกับกล้องรุ่นที่ใหญ่กว่า
แต่ถึงกระนั้น เราก็มาดูกันครับว่าทำไมผมถึงประทับใจเจ้าเปี๊ยกนี่มากจนคิดอยากจะซื้อมาใช้เองอีกตัว
โจทย์แรกเลยคือมาดูเนื้องานที่ได้จากกล้องตัวนี้กันครับ ว่าความละเอียดของเนื้องานเป็นอย่างไรบ้าง
ใบนี้เป็นไฟล์ JPG ที่ได้จากกล้องโดยไม่ปรับแต่งอะไรในโปรแกรมแต่งรูปเลยครับ
ไฟล์ดีมากจนลืมไปเลยครับว่ามาจากกล้องตัวเล็ก
F/3.5, 1/125Sec, ISO200
Lens : 1 NIKKOR VR 10-30mm f/3.5-5.6
Crop แบบซูม 100% ได้งานแบบนี้ ฟันธงได้เลยครับว่าสำหรับงานทั่วไปที่ใช้ลงสื่อบน Internet นี่ เหลือๆ เลยครับ
ยิ่งถ้าตั้งเป้าว่าซื้อมาถ่ายเล่นสนุกๆ เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัด รับรองว่าเนื้องานตอบโจทย์ได้สบายมาก
เรื่องความคมชัด
ใบนี้ผมยากได้มุมกว้าง เลยใช้เลนส์ไวด์แล้วจ่อเข้าไปใกล้ๆ ดอกไม้
F/4.5, 1/250Sec, ISO160
Lens : 1 NIKKOR VR 6.7-13mm f/3.5-5.6
Crop แบบซูม 100% เหมือนเดิม
ชัดขนาดนี้ ก็คงต้องบอกว่าสอบผ่านฉลุยเหมือนกันครับ
จริงๆ แล้วเรื่องความคมชัดนี่ ผมไม่เคยกังขาในศักยภาพของนิคอนเลย
แต่ก็ไม่คิดมาก่อนครับว่า แม้แต่กล้องตัวเล็กอย่าง J5 ก็สามารถทำได้ถึงขนาดนี้... ซูฮกให้ 3 รอบเลยครับ... เยี่ยมมากๆ...
เรื่องสีสันของรูปภาพ
ผมเป็นคนชอบสีสดๆ ยิ่งถ้าถ่าย Outdoor จะตั้งโหมด Vivid ไว้เสมอเลย สีสันสดใส แสบทรวงถูกใจขาโจ๋นักแล
F/4.5, 1/80Sec, ISO400
Lens : 1 NIKKOR VR 6.7-13mm f/3.5-5.6
แล้วสีสันในช่วงกลางคืนเป็นอย่างไร
ตอบได้ว่า ไม่ผิดหวังเช่นเคยครับ ความอิ่มตัวของสี ระดับการไล่เฉด ทำได้ดีมากจนสามารถเอาไปชนกับกล้อง DX ได้สบาย
บอกได้เลยว่างานนี้ DX มีเหนื่อยกันบ้างหล่ะ...
F/3.5, 15Sec, ISO200
Lens : 1 NIKKOR VR 6.7-13mm f/3.5-5.6
Dynamic Range
สำหรับเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ผมประทับใจกล้องตัวนี้ที่สุดเลย การออกแบบให้กล้องทำงานเรื่อง DR ได้มีประสิทธิภาพนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก
ส่วนมืด/ส่วนสว่าง ต้องมีดีเทลและได้ระดับ ด้วยการถ่ายเพียงช๊อตเดียวเท่านั้น
ส่วนมืดส่วนสว่างที่ว่านั้นก็คือ Contrast ซึ่งเป็นตัวแทนของเรื่องมิติในรูปภาพอีกที
ลองดูฉากหน้ากับฉากหลังของภาพใบนี้ครับ จะรู้สึกได้เลยว่า มิติแยกจากกันชัดเจน ทำให้ภาพดูลึกเข้าไปมาก
โดยเฉพาะที่เศียรพระนี่ ดูลอยขึ้นมาเลยครับ เยี่ยมมากจริงๆ
F/5, 1/160Sec, ISO200
Lens : 1 NIKKOR VR 70-300mm f/4.5-5.6
ส่วนใบนี้ ขอจัดหนักให้กล้องหน่อย ดูซิว่ามันจะให้งานแบบไหน...
พอเห็นงานที่ได้ ผมถึงขั้นสบถออกเสียงเลยทีเดียว หลังจากดูรูปแล้วก็รีบเช็ค Histogram เพื่อความชัวร์
กราฟไม่ชิดซ้ายนั่นแปลว่าส่วนมืดยังมีดีเทลอยู่ ส่วนด้านขวาที่ชนขอบอยู่นิดนึงนั้นมาจากส่วนของดวงอาทิตย์แน่นอน...
ผลสรุปคือกล้องควบคุม DR ได้น่าประทับมาก บอกได้เลยว่ากล้อง DX รุ่นเก่านิดๆ ก็ยังไม่สามารถทำได้ขนาดนี้
มันทำให้ผมเปลี่ยนความเชื่อตัวเองไปอีกเรื่องเกี่ยวกับกล้อง Mirrorless...
กล้องตัวเล็ก ตัวน้อยสมัยนี้... ดูหมิ่นไม่ได้แล้วจริงๆ...
F/5.6, 1/250Sec, ISO200
Lens : 1 NIKKOR VR 6.7-13mm f/3.5-5.6
หรืออีกกรณีนึง พอจะจำกันได้ไหมครับว่า เวลาเราถ่ายภาพกลางแจ้งตอนที่ไม่มีแสงแดด มันเป็นอย่างไร
ภาพจะดูตุ่นๆ สีสันไม่สด และเรื่องมิติจะคลุมเครือมาก... แต่ดูงานที่ได้จากกล้องตัวนี้ครับ...
งานดูไม่ตุ่น และสียังชัดเจนในระดับที่น่าพอใจ... ส่วนเรื่องมิติที่ดูไม่ชัดเจนเท่าที่ควรนั้น เป็นเรื่องธรรมดาของงานที่ขาดแสง... แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่าทำได้ดีทีเดียว
F/5.6, 1/160Sec, ISO200
Lens : 1 NIKKOR VR 6.7-13mm f/3.5-5.6
ส่วนเรื่องการคอนโทรลกล้องนั้น สามารถทำได้สะดวก และมีโหมดต่างๆ ครบครันเหมือนกล้องรุ่นใหญ่... แถมมีอะไรหลายอย่างที่กล้องรุ่นใหญ่ไม่มีด้วย...
พร้อมทั้งรุ่น J5 สามารถใช้ Touch Screen ได้ด้วย ทำให้การควบคุมเร็วขึ้นอีก... แต่ไม่ค่อยเหมาะกับคนมือใหญ่เท่าไหร่ครับ เพราะปุ่มบนหน้าจอค่อนข้างเล็ก...
แต่การทำงานโดยรวม เหมือนกล้องทั่วไปเลยครับ อย่างเช่นช๊อตนี้ ผมอยากจะได้สายน้ำพริ้วๆ หน่อย ก็จัดการเข้าโหมด M เซ็ตค่าสปีดต่ำหน่อย
ส่วนรูรับแสงกับ ISO ก็บาลานซ์กันให้ได้ค่าแสงที่พอดี เพียงเท่านี้เราก็ได้สายน้ำไหลที่นุ่มนวลอย่างที่ต้องการแล้วครับ... J5 เอาอยู่...
F/11, 1Sec, ISO160
Lens : 1 NIKKOR VR 6.7-13mm f/3.5-5.6
Physical อีกอย่างที่ผมชอบมากหลังจากได้จับ J5 คือเรื่องจอพับได้...
มันทำให้เราได้มุมมองใหม่ พร้อมทั้งการถ่ายที่ง่ายขึ้นมาก ซึ่งเรื่องนี้ผมไม่เคยมองเห็นความสำคัญมาก่อน เพราะไม่เคยได้ลองใช้งานจริงจังนั่นเอง
ว่าแล้วก็ขอลองมุม Worm's eye view ซักหน่อยแล้วกันครับ... ได้มุมมองเท่ไปอีกแบบ ชอบมากๆ...
F/8, 1/125Sec, ISO160
Lens : 1 NIKKOR VR 6.7-13mm f/3.5-5.6
ในเมื่อกล้องมันมีจอพับได้ มุมมองลักษณะนี้ที่เล่น Depth ให้ฉากหน้าละลายก็หมูเลยครับ
กดกล้องลงต่ำสุดให้เกือบวางบนพื้นไปเลย ได้ฉากหน้าละลายแน่นอน
F/5.6, 1/200Sec, ISO400
Lens : 1 NIKKOR VR 10-30mm f/3.5-5.6 PD-ZOOM
ไฟล์ Raw หล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง?
แน่นอนว่าการดึงไฟล์สู้รุ่นพี่ไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่อยู่ในชั้นล่างครับ อยู่ชั้นบนๆ เลยแหละ...
และไฟล์ Raw ยังทำงานได้สมบูรณ์ตามศักภาพของมัน
สำหรับใบนี้ให้ลองดูงานจากไฟล์ JPG ก่อนครับ... ผมถ่ายเก็บส่วนสว่างมาให้พอดีก่อน แล้วค่อยจัดการส่วนมืดใน ACR ด้วยไฟล์ Raw
หลังจากที่โยนไฟล์ Raw เข้า ACR ก็ปรับแต่งส่วนมืดส่วนสว่างใหม่
จัดการเรื่องสีให้พอดี สามารถสร้างผลลัพธ์แบบนี้ได้ไม่ยากครับ
เนียนจนถ้าไม่บอกว่ามาจาก J5 ต้องคิดว่ามาจาก FX แน่นอน...
ปล. ในการปรับแต่งภาพ ผมใช้คำสั่งพื้นฐานบน ACR เท่านั้นครับ ไม่ได้ใช้คำสั่งพิเศษรวมทั้ง Plug-in ใดๆ ทั้งสิ้น
โดยปกติไฟล์ Raw(สมัยนี้) จะสามารถดึงส่วนมืดได้ถึงราว 7-8 stop แต่ในส่วนสว่างนั้นดึงได้แค่ราว 2-3 stop เท่านั้นเอง
นั่นเลยเป็นเหตุผลหนึ่งที่มืออาชีพเลือกที่จะบันทึกภาพในลักษณะ ETTR(Exposure to the right)
เก็บส่วนสว่างไว้เป็นหลักก่อน แล้วมาจัดการส่วนมืดทีหลังเพราะจัดการได้ง่ายกว่ามาก
แต่ลองดูไฟล์นี้ครับ (จริงๆ ใบนี้ผมทำชัตเตอร์ลั่น ยอมรับแบบแมนๆ กันไปเลย) ขาวว๊อกจนคิดว่าไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว
ผมลองเอาไฟล์ Raw มาปรับดูว่ากล้องมันจะสามารถกู้คืนรายละเอียดในส่วนสว่างได้แค่ไหน
เห็นแล้วทึ่งเลยครับ เอากลับมาได้ขนาดนี้เลยทีเดียว ต้องยอมรับว่าไฟล์ Raw เค้าไม่ธรรมดาอย่างที่คิด
ต้องบอกว่าไอ้เปี๊ยกนี่ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ผมมากกว่า D800E เสียอีก...
สำหรับคนที่เล่นชุดใหญ่อยู่แล้วนั้น ถ้าจะเลือก J5 มาเสริมทัพอีกตัวผมก็คิดว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าต้องการงานที่ซูมไกลๆ เพราะเจ้า J5 ก็จัดว่าเป็นกล้องตัวคูณตัวนึงแถมคูณ 2.7 ซะด้วย
เอา FT-1 ต่อกับ 70-200 แล้วซูมสุดก็จะได้ทางยาวโฟกัส 540mm เมื่อเทียบกับกล้อง Full Frame เอาไปถ่ายงานลักษณะนี้ได้สบายครับ
ปล1. ใบนี้ครอปที่ 100%
ปล2. สำหรับภาพใบนี้ ต้องขอขอบคุณพี่เก่งกับอาจารย์โอ และกลุ่มพรานดาราเป็นอย่างสูงครับ ที่ชวนไปถ่ายและช่วยชี้เป้าให้
ส่วนใบนี้ใช้เลนส์ "1 NIKKOR VR 70-300mm f/4.5-5.6"
ซูมที่ 300mm เทียบได้กับ 810mm บน Full Frame เลย แล้วครอปแบบ 100%
เห็นรอยหลุมอุกกาบาตกันเลยทีเดียว สะใจมาก...
F/6.3, 1/60Sec, ISO200
Lens : 1 NIKKOR VR 70-300mm f/4.5-5.6
นอกจากนี้ตัวกล้องเองยังมีลูกเล่น Effect ต่างๆอีกเยอะแยะเลยครับ
โหมด Pop, Retro, Monochrome, Sepia, HDR, Soft, Panorama และอีกเยอะแยะเลยครับ รวมๆ แล้วเกือบ 20 แบบ เรียกว่ามีให้เล่นกันเพียบเลย
ใบนี้ผมลองโหมด Fisheye ดู... ในใจคิดว่าโหมดพวกนี้คงเป็นของเล่นเล็กๆ น้อยๆ เอาไว้แก้เซ็ง แต่เนื้องานที่ได้ไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลยครับ
ไอ้ตัวเล็กของเรา เค้าซีเรียสตลอด... ซีเรียสยังไง ลองดูเนื้องานที่ได้มาครับ...
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มุมกว้างเหมือน Fisheye ของแท้แต่ก็ได้อารมณ์ของภาพ Fisheye ในระดับนึงเลย... แถมคมชัดในบริเวณมุมภาพซะด้วยซิ...
Software ที่นิคอนให้มา ดีเอาเรื่องเลยทีเดียว... ขอชมเชยจากใจเลยครับผม...
ลอง Panorama กันดูบ้างครับ ก็สนุกไปอีกแบบ
กล้องรุ่นนี้มี Wi-Fi มาให้ในตัวด้วย สามารถโหลดรูปเข้ามือถือหรือแท็บเล็ตของเรา ด้วยการโหลด App ที่ชื่อว่า "Wireless Mobile Utility" ทำให้สามารถอัพโหลดรูปภาพลงสื่อ Internet ได้หลังจากที่ถ่ายเสร็จทันที สะดวกมากๆ ครับ
หรือจะแต่งรูปก่อนลงสื่อก็ได้... และสำหรับคนที่ซื้อ Photoshop CC แบบรายเดือน ทาง Adobe เค้าแจก App ที่ชื่อ "PS Express" ให้ใช้ฟรีด้วย ภายใน App ตัวนี้มีคำสั่งพื้นฐานอยู่ครบครันเลยทีเดียว ทำให้เราสามารถปรับแต่งรูปภาพที่โหลดผ่าน Wi-Fi ได้แบบต่อเนื่องเลย... เจ๋งมากๆ...
ทีนี้ลองมาฟังผลสรุป สิ่งที่ผมชอบและยังไม่ค่อยถูกใจบ้างนะครับ (หลังจากนี้ รูปภาพไม่เกี่ยวกับเนื้อหาแล้ว เอามาประกอบเฉยๆ ครับ)
อันดับแรกเลย เรื่อง Physical ของกล้องตัวนี้ ดีไซน์ได้สวยกว่ารุ่นก่อนหน้าทุกรุ่นเลย โดยเฉพาะตัวสีเงิน ถูกใจผมมาก...
ส่วนเรื่องปุ่มต่างๆ และการจัดวาง รวมถึงการคอนโทรล ทำได้ดีมากจนต้องยกนิ้วให้เลย...
แถมจอพับได้ มี Wi-Fi ให้ด้วย นับว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก...
ในแง่ Physical มีเรื่องเดียวที่ผมไม่ค่อยถูกใจนัก คือกล้องตัวนี้ใช้ Memory แบบ Micro SD Card ซึ่งดูมันบอบบางมาก
และต้องซื้อใหม่เลย เพราะกล้องที่เราใช้ๆ กันอยู่ส่วนมากเราใช้ CF กับ SD เท่านั้น
อีกเรื่องคือเรื่องแบตเตอรี่ เนื่องจาก J5 ใช้แบตก้อนเล็ก ฉะนั้นมันก็ย่อมจะหมดเร็วเป็นธรรมดา
ถ้าถ่ายเยอะ ถึงจะปิดๆ เปิดๆ ในภาพรวมก็อยู่ได้ราว 2 ชั่วโมงกว่าๆ หรือให้เต็มที่ไม่เกิน 3 ชั่วโมง ดังนั้นควรมีแบตสำรองอย่างน้อย 1 ก้อน แต่ถ้าให้ชัวร์ก็ต้องมีสำรอง 2 ก้อนครับ
ในภาพรวมเรื่อง Physical เอาไป 9/10 เลยครับ
Software ที่ติดมากับตัวเครื่อง
เมนูในโหมดต่างๆ ถูกแยกชัดเจน ซึ่งเริ่มต้นด้วยการเลือกโหมดหลักในการถ่ายภาพด้วยการหมุนแหวนด้านบน หลังจากนั้นจะมีคำสั่งย่อยที่เกี่ยวข้องกับโหมดที่เราเลือกเท่านั้น
ไม่มีคำสั่งอื่นมาวางข้างๆ ให้สับสน และเป็นที่เข้าใจง่ายสำหรับคนที่ไม่เคยใช้งานมาก่อน
พร้อมกันนั้น หน้าจอเป็นระบบ Touch Screen เมื่อใช้ชินแล้วจะสามารถควบคุมกล้องได้ง่ายและเร็วขึ้น
จะปรับเปลี่ยนระบบวัดแสง, วิธีการโฟกัส, White Balance, Picture control กดปุ่มแค่ 2 ทีเลือกปรับเปลี่ยนค่าต่างๆ ได้เลย ไวกว่ากล้องตัวใหญ่อีก...
ส่วนสิ่งที่ไม่ค่อยประทับใจเท่าไหร่คือ ตั้งแต่ ISO 200 เป็นต้นไป ต้องเพิ่มลดครั้งละ 1 stop เต็มๆ ไม่สามารถเพิ่มลดครั้งละ 0.3EV ได้แล้ว ทำให้เสียโอกาสบางอย่างไป
อีกเรื่องคือคำสั่งลดน๊อยที่มากับตัวกล้อง ไม่ค่อยสะใจเท่าที่ควร ลดกับไม่ลด มองด้วยตาเปล่าแทบแยกไม่ออกเลย
สำหรับเรื่อง Software ให้ 8/10 ครับ
เรื่องการถ่ายวิดีโอ
จริงๆ แล้วผมถ่ายวิดีโอมาบ้าง ทีแรกตั้งใจว่าจะทำคลิปวิดีโอด้วย แต่ต้องขออภัยที่ผมต้องตัดส่วนนี้ออก เนื่องจากในส่วนของการทำคลิปนั้นใช้เวลาค่อนข้างนาน
และช่วงนี้ผมมีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ ทั้งงานหลัก งานรอง งาน Service รวมทั้งโปรเจคที่คิดเอาไว้... แต่ผมจะสรุปให้ฟังคร่าวๆ ครับผม
กล้องตัวนี้สามารถถ่ายคลิป 4K ได้ด้วย ถ้าท่านมีเครื่องเล่น แต่ถ้าไม่มีเครื่องเล่นรองรับก็ถ่าย โหมด HD ได้ตามปกติ
แถมยังมีโหมด Time-Lapse movie ด้วย ซึ่งโหมดนี้ผมชอบมากๆ ถ่ายเล่นมาเยอะเลย และยังมีโหมดอื่นๆ อีก 3-4 โหมด
ส่วนเรื่องความคมชัดของภาพนั้น บอกได้เต็มปากเลยครับว่า High Quality ไม่แพ้กล้องตัวใหญ่แน่นอน...
ระบบเสียงมีระดับให้เลือก หรือแม้กระทั่งโหมดออโต้ที่กล้องมันจะคำนวณเรื่องเสียงให้เอง แถมมีระบบลดน๊อยจากเสียงรบกวนให้ด้วย
ปุ่มกดอัด ปุ่ม Stop กดง่าย อยู่ตรงตำแหน่งนิ้วชี้พอดี
ในภาพรวมเอาเป็นว่า ผมแฮปปี้มากกับเรื่องการถ่ายวิดีโอ แค่ซื้อกล้องตัวนี้มาอัดคลิปอย่างเดียวก็คุ้มแล้วครับ
เรื่องวิดีโอเทใจให้คะแนน 9.5/10 ไปเลยครับ
ไฟล์ Jpg
สำหรับเรื่องสีสันกับคอนทราส ไฟล์ Jpg ตอบโจทย์ได้ดีมาก
แต่เรื่องความเนียนของเนื้อไฟล์... ถ้าเอาต้นฉบับมาซูมดูที่ 100% ไฟล์ยังเป็นเกรนอยู่พอสมควร ซึ่งข้อนี้ฟันธงว่ามาจากขนาดของเซ็นเซอร์แน่นอน
แต่ถ้าเป้าหมายของเราคือการโพสต์รูปลงเว็บหรือ FB เป็นหลัก เราย่อขนาดลงมาที่ 1920*1280 (เต็มจอพอดี) หรือจะตั้งหน้ากว้างไว้ราว 3000*2000 ก็ได้ครับ
รับรองว่าเกรนหายเรียบ จับไม่ได้อีกเลยว่าใช้กล้องอะไรถ่าย... หรือจะเอาไปพิมพ์ซักขนาด A3 ก็ยังเนียนกริ๊ปแน่นอนครับ...
ในภาพรวมไฟล์ JPG ให้ 7.5/10 ครับ
ไฟล์ Raw
ไฟล์ Raw เป็นชนิด 12-bit แถมเป็นแบบ compressed ด้วย... กำหนดตายตัวเพียงอย่างเดียวเลย ไม่มีตัวเลือกอื่น... เล่นเอาน้ำตาไหลพราก...
ถึงแม้จะไฟล์ Raw จะยืดหยุ่นได้สูงและเพียงพอกับงานทั่วไป แต่คนเคยเล่น 14-bit แบบ uncompress มาแล้ว ย่อมรับรู้ถึงความแตกต่างได้ดีมากถึงมากที่สุด
เวลาเอาไฟล์ Raw จาก J5 มากู้รายละเอียดนั้น... สามารถกู้ได้เยอะครับ จากมืดสนิทก็ดึงให้เป็นสว่างได้ จากขาวจั๊วะก็ลากกลับมาให้มองเห็นดีเทลได้
แต่แถมเกรนมาด้วยครับ แถมให้มาซะเยอะเลย... พอแก้ด้วยการลดน๊อย ภาพก็กลายเป็นปื้นๆ แทน ซึ่งในภาพรวมแล้วไม่แก้ยังจะดีซะกว่า
เอาเป็นว่าไฟล์ Raw หล่อมากในระยะ 10 เมตร แต่ไม่หล่อเท่าไหร่ในระยะเมตรเดียวเพราะเห็นสิวชัดเจนไปหน่อย
ไฟล์ Raw เอาไป 7/10 ครับ
สรุปสั้นๆ เลย...
ศักยภาพที่ว่ามาทั้งหมดนั้น เทียบกับค่าตัวนาทีนี้... ต้องบอกว่า...ถูกมาก... ซื้อมาถ่ายวิดีโออย่างเดียวก็คุ้มแล้ว...
หรือถ่ายภาพนิ่งอย่างเดียวก็คุ้มเหมือนกัน... แต่ถ้าใช้ทั้งสองอย่างก็ถือว่าคุ้มสุดคุ้มเลย...
กล้องตัวเล็ก น้ำหนักเบา แต่เรื่องคุณภาพขอเอาไปชนกับ DX เลยแล้วกัน... ชนกับ CX ด้วยกันเอง ไม่สนุกแน่นอน...
ไฟล์วิดีโอเอาไปชนกับกล้องตัวไหนก็ได้ รับรองว่าไม่แพ้ใคร...
ส่วนไฟล์ภาพนิ่งนั้น... ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องเกรน หรือไม่จำเป็นต้องเนียนกริ๊ปที่ซูม 100% ก็เอาไปใช้งานได้เลย เหลือๆ...
แต่ถ้าเป็นคนซีเรียส อยากได้ภาพต้นฉบับที่ซูมแล้วเนียนเหมือน DSLR... ก่อนเอาไปใช้งานก็ย่อขนาดลงมาหน่อย เพื่อแลกกับการลดเกรน...
และหากตั้งเป้าว่าจะใช้กล้องตัวนี้กับสื่อ Internet เท่านั้น... ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรแล้วครับ... กล้องไปไกลกว่าตัวผู้ใช้แน่นอนรวมทั้งผมเองด้วย...
ในภาพรวมจัดไปเลยครับ 8.5/10 คะแนน... โย่ว โย่ว...
*** หากท่านกำลังมองหากล้องตัวเล็กน้ำหนักเบา คุณภาพสูงทั้งภาพนิ่งและไฟล์วิดีโอ แถมราคาสบายกระเป๋า ผมแนะนำเจ้า Nikon1 J5 ครับ รับรองว่าไม่ผิดหวัง... ***
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น